จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
คอลัมน์ : จากนาบอนถึงริมฝั่งเจ้าพระยา
โดย : ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที ผู้ดำเนินรายการสภากาแฟ NEWS 1
ผมยังจำคำพูดของ “อ.ยักษ์-วิวัฒน์ ศัลยกำธร” ปัจจุบันท่านเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ท่านเป็นรัฐมนตรีช่วยฯ ที่ช่วยประเทศได้มาก และผมคิดว่าท่านก็จะช่วยจนกว่าคนมีอำนาจไม่ให้ช่วย
สำหรับสังคมไทยเราแล้ว “คนดี” อยู่ที่ไหนก็สร้างสรรค์ประโยชน์!
สำหรับ “ดิน” โดยเฉพาะ “หน้าดิน” หรือ “ผิวดิน” การทับถมของอินทรียวัตถุบนแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลตั้งแต่เหนือจรดใต้
แผ่นดินไทยเรามีกล้วย มีมะพร้าว มีอ้อย มีข้าวโพด มีข้าว มีฟักแฟงแตงไทย มีถั่วเขียว ถั่วเหลือง มีงา มีสมุนไพร มีใบไม้ มีพืชผัก มีอาหารเลี้ยงมนุษย์ เลี้ยงได้ทั้งคนไทยและคนทั้งโลก
ประเทศของเรามีความสามารถผลิตข้าวเลี้ยงคนทั้งโลก ขณะที่ข้าวที่ถูกทิ้งขว้างไปแล้วยังสามารถนำมาเลี้ยง “ฝูงมอด” ได้
ประเทศของเรายังไม่ล่มจมครับ แม้ประเทศของเราอาจจะเป็นหนี้สาธารณะมากขึ้น!
เราผู้เสียภาษีบำรุงชาติ อาจจะเสียดายเงินของแผ่นดินที่มิได้นำไปสู่การใช้ที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ของคนในชาติ
ทำให้ชาวนาให้เข้มแข็งขึ้น ทำให้ชาวนาที่ลำบากฮึดสู้กับชีวิตด้วยศาสตร์พระราชา ทำให้เกษตรกรมีปัญญาความรู้ในการพลิกแผ่นดินที่ตายแล้วให้มีชีวิต ทำให้เกษตรกรพึ่งตนเองได้ในทุกด้าน ทำปุ๋ยใช้เองเป็น ปลูกผักสร้างผลผลิตอาหารเลี้ยงตนเองให้พอ
เมื่อเหลือจากการกินในครอบครัว พืชพันธุ์ธัญญาหารก็ไหลเข้าสู่เมือง เข้าสู่การค้าการขาย หล่อเลี้ยงสังคมที่นั่น
จะคิดค้นต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่ม เติมนวัตกรรม สิ่งเหล่านี้ก็อยู่ที่สติปัญญาของคนในชาติ คนรุ่นใหม่ที่จะมาสืบสาน
เพื่อต่อยอดกันต่อไปให้ไม่สิ้นสุด ตราบใดที่เรายังมี “แผ่นดิน” มี “ผิวดิน” มี “หน้าดิน” เพราะหน้าดินบนโลกใบนี้หล่อเลี้ยงมนุษย์และสัตว์มาเป็นล้านๆ ปีก่อนที่จะมีสมาร์ทโฟนด้วย
พืชผัก ปศุสัตว์ ข้าวปลาอาหารล้วนเจริญเติบโต “บนผิวดิน”
เมื่อไม่มี “ผิวดิน” ไม่มี “หน้าดิน” แน่นอนมนุษย์ชาติก็ต้องไปสร้างอาหารกันใน “ห้องแล็บ” หรือ “ห้องสังเคราะห์” เราก็จะได้ “อาหารสังเคราะห์”
แล้วสุดท้ายเห็นอิทธิฤทธิ์ของเส้นทางการพัฒนาแบบนี้ก็จะทำให้ “เซลล์” ของมนุษย์แตกตัว “เซลล์มะเร็ง” เข้ามาอาศัยใบบุญมาอยู่ด้วยในร่างกายของมนุษย์คนไทยมากเป็นพิเศษ
“ลุงจำลอง-พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” มหาบุรุษผู้ที่คลุกดิน คลุกโคลนมาตั้งแต่หนุ่ม ได้มีโอกาสเดินทางไปญี่ปุ่นเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ลุงจำลองเล่าให้ผมฟังว่า
“ยุทธิยงรู้ไหม ลุงไปดูงานตามคำเชิญของรัฐบาลญี่ปุ่นนานมาแล้ว ปราชญ์ทางการเกษตรชาวญี่ปุ่นเดินลงจากภูเขาในชนบทมาหลายกิโลเมตร เขาเอาดินห่อด้วยใบไม้อย่างดีมาใส่ในมือลุงแล้วพูดเป็นปริศนาว่า ดูแลดินให้ดีนะ”
คนญี่ปุ่นรู้กรรมวิธี “โบกาชิ” คือการทำปุ๋ยคอก
“ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง” และ “ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ” ซึ่งในหลวง ร.9 ซื้อที่ดินผืนนี้สร้างแหล่งฝึกอบรมคนให้เดินในเส้นทางศาสตร์พระราชาที่ จ.นครนายก แล้วเรียกสิ่งนี้ว่า “กระบวนการคนเล่นขี้”
โดยการนำเอาขี้วัว ขี้หมู ขี้ของสัตว์ต่างๆ มาใส่ดิน ซึ่งไม่ใช่ขี้โม้ ขี้เกียจ ขี้คร้าน เพราะขี้อย่างนี้เอาใส่ให้ดินไม่เป็นประโยชน์
เขานำมูลสัตว์นำมาหมักทำปุ๋ย ผสมเศษอินทรียวัตถุ ใบไม้ ใบหญ้า เพื่อเติมชีวิตให้แผ่นดินกันมานมนานแล้ว
อย่าได้แปลกใจที่หน้าดิน ผิวดิน ถูกใช้สำหรับการเพาะปลูกทางการเกษตรของคนญี่ปุ่น มีชั้นดินที่หนามาก เขาพอกพูนสร้างหน้าดินกันเป็นเมตรเพื่อการเพาะปลูก พืชพันธุ์ธัญญาหาร ทั้งข้าว มันญี่ปุ่น ถั่ว มะเขือเทศ แตงตาลูป แตงโม สารพัดถูกปลูกเป็นอาหารหล่อเลี้ยงคนญี่ปุ่นได้ทั้งประเทศ
ทั้งที่แผ่นดินเขามีน้อยกว่าเรา หิมะหนาวเหน็บกว่าแผ่นดินเรา อุปสรรคจากภัยธรรมชาติมากกว่าเรา!
แต่ทำไมพี่น้องเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนบนแผ่นดินไทยของเรา เลานี้ถึงยัง “จนยั่งยืน” หรือยัง “จนถาวร” หรือยัง “จนดักดาน” แถมหนี้ภาคการเกษตรของไทยเราก็ยังมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ ทุกปี ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?
เราได้เห็นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา สารเคมีภาคการเกษตร ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง เหล่านี้ได้ถูกราดรดหรือพ่นฉีดลงบนแผ่นดินมาตลอด 3-4 ทศวรรษมานี้
แล้วทำไมเราเพิ่งจะมาตั้งสติคิดกันได้เมื่อไม่กี่วันว่า เราควรต้องเลิกขายเลิกใช้สารเคมีอันตรายเหล่านั้น
ทำไมผู้มีอำนาจในระบบราชการถึงคิดได้ช้ากว่าคนอื่นๆ นี่ก็เป็นคำถามที่คนทำสื่อแบบผมอยากจะถามทุกวัน!
เหตุการณ์ที่ “เหมืองทอง” บนพื้นที่คาบเกี่ยว จ.พิจิตรและ จ.พิษณุโลก เราก็ได้บทเรียนที่เจ็บปวดแล้วไม่ใช่หรือ? เรานำก้อนหินดินใต้พื้นพิภพลึกมากๆ ขุดมากองกลบบนผิวดิน เพื่อความมั่งคั่งของใครก็ไม่รู้?
สุดท้ายสารแมงกานิส ตะกั่ว ปรอท สารอันตรายเหล่านี้ที่เคยนอนนิ่งลึกใต้ผิวโลกมานาน กลับถูกขุดขึ้นมาแล้วให้มาอยู่ตามผิวดิน ตามแหล่งน้ำ
อันส่งผลให้ชาวบ้านล้มหายตายจากกันไปเหมือนกลับเป็นใบไม้ร่วง ผักที่ปลูกก็กินไม่ได้ อย่าพูดถึงน้ำที่จะดื่มกินกันเลย อัตคัดขัดสนกันทั่วหน้า
เส้นทางการพัฒนาประเทศของไทยเราเวลานี้ยังมากมายคำถาม โดยเฉพาะกับประโยคทองจากศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้องว่า
“ความมั่งคั่งบนผิวดิน บนแผ่นดินของเรา มีเพียงพอที่จะสร้างชาตินี้ให้เจริญได้ไหม?”
ในวาระครบรอบ “5 ธันวาฯ” อันเป็นวันที่มีความหมายต่อชีวิตคนไทยเราอย่างมากเวียนมาอีกคราครั้ง อันเป็นวันที่ “สหประชาชาติ” ได้ประกาศแล้วว่า ให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกๆ ปีเป็น “วันดินโลก”
“ผิวดิน” หรือ “หน้าดิน” บน “แผ่นดิน” ของประเทศไทยเรา ขออย่าได้มีอามิสใดๆ! ขออย่าได้มีโมหะใดๆ! มาทำลายแผ่นดินที่มั่งคั่งนี้อีกเลย!
แผ่นดินของประเทศไทยเรานี้สร้าง “อาหาร” สร้าง “ยารักษาโรค” หล่อเลี้ยงคนได้ทั้งโลกได้!
สมกับคนเรียกขานว่าเป็น “สุวรรณภูมิ” หรือ “แผ่นดินทอง” แห่งอาหารและยาที่มีอยู่มากมายบนผิวดิน
“คำปฏิญาณมาบเอื้อง” ยังก้องดังทุกเมื่อในมโนสำนึกผม เมื่อต้องทำข่าวเกี่ยวกับปัญหาเกษตรกรที่ยากจนข้นแค้น
“…เราต้องบำรุงชาติ เราต้องรักษาแผ่นดิน ด้วยการทำเกษตรอินทรีย์ เราต้องสร้างเศรษฐกิจพอเพียง ให้เป็นความมั่งคั่งใหม่ให้กับแผ่นดินไทยให้จงได้...”
#สำนักงานบัญชี,#สำนักงานสอบบัญชี,๒ทำบัญชี,#สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน