สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

วันเดียวเที่ยวคุ้ม 9 ของดีเมืองนนท์

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

พิพิธภัณฑ์จังหวัด นนทบุรี
       นนทบุรีอีกหนึ่งจังหวัดที่อยู่ติดกับกรุงเทพฯ อย่างผสมกลมกลืนนี้ มากด้วยสถานที่ราชการสำคัญๆ อีกทั้งอุดมด้วยวัดวาอารามที่เก่าแก่และสวยงาม รวมถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมา ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีก็ถือได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าสนใจ วันนี้ฉันจะพาเที่ยวชมจังหวัดนนทบุรีโดยมีไฮไลท์อยู่ที่ “9 ของดีเมืองนนท์”
       
       เริ่มกันที่ “พิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี” กันก่อนเลย เหตุที่ฉันขอเริ่มต้นทริป “9ของดีเมืองนนท์” ที่ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็เนื่องจากว่า ภายในพิพิธภัณฑ์ได้บอกเล่าเรื่องราวของจังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่เริ่มต้นพัฒนาชุมชนในสมัยกรุงศรีอยุธยา จนกลายเป็นชุมชนใหญ่และเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงทรงพระราชทานชื่อเมืองให้ใหม่จากบ้านตลาดขวัญ เป็น เมืองนนทบุรี

ศาลเจ้าแม่ทับทิม
       ปัจจุบันแม้สภาพเมืองนนทบุรีจะเปลี่ยนแปลงไปมากตามกาลเวลา แต่นนทบุรีก็ยังคงขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์สืบต่อกันเรื่อยมา เช่น เครื่องปั้นดินเผาเกาะเกร็ด หุ่นละครเล็ก หุ่นกระบอก หรือจะเป็นผลหมากรากไม้ที่อุดมสมบุรณ์มาแต่โบราณ อาทิ ทุเรียนนนท์ มะปรางท่าอิฐ กระท้อนบางกร่าง เป็นต้น ใครที่อยากรู้เรื่องราวประวัติความเป็นมาของเมืองนนท์ก็สามารถมาศึกษากันได้ ที่พิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรีแห่งนี้
       
       เมื่อรู้เรื่องราวของจังหวัดนนทบุรีกันแล้วก็มาต่อที่ “ศาล เจ้าแม่ทับทิม” ของดีแห่งที่สองของเมืองนนท์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์จังหวัดนนท์เพียงเดินต่อมาอีกไม่กี่ก้าวเท่า นั้น เนื่องจากเมืองนนท์เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญเป็นชุมทางค้าขายทางเรือ เมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้วมีศาลเจ้าแม่ที่ชาวจีนไหหลำเคารพบูชา โดยถือเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลที่คอยปกปักษ์คุ้มครองผู้เดินทางทางเรือเรียก ว่า จุ้ยป่วยเนี้ยว แปลว่าเจ้าแม่ชายน้ำ นับเป็นเจ้าแม่ที่ชาวเรือ ชาวประมง ให้ความเคารพบูชา

พบพระบรมสารีริกธาตุ อยู่ภายในพระมหาเจดีย์ใหญ่ วัดเขมา
       ในประเทศไทยรู้จักเจ้าแม่จุ้ยป่วยเนี้ยวในชื่อ เจ้าแม่ทับทิม เพราะเทพธิดาองค์นี้มีเครื่องประดับประจำองค์เป็นพลอยสีแดงทับทิม ต่อมาพ่อค้าแม่ค้าชาวจีนในจังหวัดนนทบุรีได้คิดจะสร้างศาลเจ้าประจำจังหวัด เพื่อเป็นที่เคารพบูชาของชาวตลาดนนทบุรี เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญองค์เจ้าแม่ทับทิมเข้าประดิษฐานในศาลที่ บริเวณปากคลองวัดบางขวางนั้นเอง
       
       ของดีแห่งที่สามของเมืองนนท์คือ “วัดเขมาภิรตาราม ราชวรวิหาร” ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ภายในมีพระมหาเจดีย์ใหญ่สีขาวสะอาดตาที่สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.2397 ต่อมาในพ.ศ.2495 ได้มีการบูรณะครั้งใหญ่และได้พบพระบรมสารีริกธาตุอยู่ภายใน ด้านหน้าของพระมหาเจดีย์เป็นพระอุโบสถทรงไทยที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่4 หน้าบันสลักเป็นภาพพระนารายณ์ทรงสุบรรณที่สวยงาม บานหน้าต่างประดับปูนปั้นรูปสิบสองนักษัตร ด้านในก็มีจิตกรรมฝาผนังเป็นภาพเขียนเทพชุมนุมแบบไทย รูปกระถางต้นไม้แบบจีน และช่อดอกไม้ลวดลายแบบตะวันตก

หน้าบันของพระอุโบสถ ทรงไทยวัดเขมาสลักเป็นภาพพระนารายณ์ทรงสุบรรณที่สวยงาม
       ที่สำคัญพระประธานภายในพระอุโบสถซึ่งเป็นพระพุทธรูปสมัยอยุธยา ล้อมรอบด้วยพระอสีติมหาสาวก 80 องค์ ซึ่งมีเพียง 2 วัดในประเทศไทยเท่านั้น คือที่วันเขมาแห่งนี้กับที่วัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีสถานที่สำคัญๆอีกมาก เช่น พระตำหนักแดงที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 พระที่นั่งมูลมณเฑียร ลักษณะเป็นทรงไทย มีเสารับหลังคาพาไลรอบด้าน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 เช่นเดียวกัน
       
       จากวัดเขมาไปต่อยัง “วัดกลางบางซื่อ” สร้างขึ้นในปีพ.ศ.2312 วัดแห่งนี้โดดเด่นด้วยพระพุทธรูปหลวงพ่อโตขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางแจ้งหน้าพระ อุโบสถ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานที่สร้างจากศิลาแลง ด้านหน้าประตูพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ที่เรียกกันว่า หลวงพ่อพระกาฬ เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปศิลาแลงที่ลอยน้ำมาแล้วชาวบ้านพบเจอจึงอัญเชิญมา ประดิษฐานไว้ ณ ที่แห่งนี้

หลวงพ่อโตองค์ใหญ่ ที่วัดกลางบางซื่อ
       ต่อไปเป็นของดีแห่งที่ห้าของเมืองนนท์ได้แก่ “วัดตำหนักใต้” จากประวัติเล่าว่า ก่อนที่จะสร้างวัด พื้นที่นี้เคยเป็นที่ตั้งของพลับพลาที่ประทับชั่วคราวของพระเจ้าแผ่นดินใน สมัยกรุงธนบุรี ภายในวัดมีพระอุโบสถหลังใหม่ที่ใช้หน้าบาน ประตูหน้าต่าง รวมถึงเพดานของพระอุโบสถหลังเก่ามาใช้ หน้าบันเป็นไม้แกะสลักเป็นรูปนกประดับด้วยพุดตาลเทศ มีรูปช้างทรงเครื่องยืนอยู่เหนือเมฆตรงกลางลายกระหนกอันวิจิตร

พระอุโบสถวัดตำหนัก ใต้
       จากวัดตำหนักใต้ฉันเดินทางต่อไปยัง “วัดชมภูเวก” ที่ สร้างขึ้นราว พ.ศ.2300 โดยชาวมอญที่ได้อพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณนี้ได้พบเนินดินเป็นอิฐก่อ ซึ่งอิฐมีขนาดใหญ่มาก จึงสัญนิฐานว่าที่แห่งนี้คงเป็นศาสนสถานหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาก่อนถือ เป็นสิริมงคลยิ่ง จึงได้ตั้งบ้านเรือนและสร้างพระมุเตาซึ่งเป็นเจดีย์ที่เป็นศิลปะแบบมอญทับลง บนซากเนินนั้นเพื่อเป็นที่สักการบูชา

พระอุโบสถหลังเก่าที่สร้างแบบมหาอุต กับพระอุโบสถหลังใหม่ที่มีช่อฟ้าใบระกาที่วัดชมภูเวก
       ต่อมาจึงได้สร้างเป็นวัดขึ้น โดยสัญลักษณ์ที่สำคัญของวัดมอญคือเสาหงส์ ซึ่งถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพระอุโบสถหลังเก่าที่สร้างแบบมหาอุต คือมีประตูเดียว หน้าบันและซุ้มประตูหน้าต่างมีลวดลายปูนปั้นประดับเครื่องถ้วยลายครามและ เบญจรงค์อีกด้วย
       
       ถัดไปคือ “พุทธสถานเชิงท่า-หน้าโบสถ์” แต่เดิมคือ วัดเชิงท่ากับวัดหน้าโบสถ์ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลางพร้อมกับวัดเชิงเลน และเนื่องจากมีถาวรวัตถุคงสภาพสมบูรณ์กรมศิลปากรจึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณ สถาน แต่มิได้บำรุงรักษาจึงได้เสื่อมโทรมลงจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง

พระเจดีย์มุเตาศิลปะ แบบมอญที่วัดชมภูเวก
       ทางเทศบาลนครนนทบุรีจึงได้ร่วมมือกับกรมศิลปากรที่2 สุพรรณบุรี จัดทำโครงการอนุรักษ์พัฒนาวัดเชิงท่า-วัดหน้าโบสถ์เพื่อเป็นสถานที่ท่อง เที่ยวแหล่งความรู้ด้านศิลปะโบราณสถานและได้ย้ายพระอุโบสถวัดหน้าโบสถ์ในเขต พระราชฐานมายังบริเวณวัดเชิงท่าและให้ชื่อใหม่ว่า พุทธสถานเชิงท่า-หน้าโบสถ์ ที่พุทธสถานแห่งนี้มีศาลเจ้าพ่อเสือที่เป็นที่เคารพของผู้คนในบริเวณนี้ ด้านในพระอุโบสถประดิษฐานหลวงพ่อโตเป็นพระประธานให้กราบไหว้บูชา
       
       ต่อไปเราจะข้ามฝั่งไปยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยากันบ้าง เพื่อไปยังของดีแห่งที่แปดของเมืองนนท์ นั้นก็คือ “ศาลหลักเมืองเดิม” หรือที่ชาวบ้านมักจะเรียกว่า “ศาลเจ้าพ่อปากคลองอ้อม” ตั้งอยู่ที่ปากคลองอ้อม ต.บางศรีเมือง สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2208 เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดเกล้าฯให้ย้ายเมืองนนทบุรีจากบ้านตลาดขวัญ มาทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ก็ได้โปรดเกล้าฯให้สร้างศาลหลักเมืองขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของเทพยดา คุ้มครองบ้านเมืองตามประเพณี

พุทธสถานเชิง ท่า-หน้าโบสถ์
       อันได้แก่ เจ้าพ่อหลักเมือง พระเสื้อเมือง และพระทรงเมือง แต่เนื่องจากศาลแห่งนี้ตั้งอยู่บนทางสามแพร่ง ชาวเรือจึงอัญเชิญเทพมาสถิตอีก 2 องค์คือ เจ้าแม่ทับทิมและเจ้าพ่อแสงมณี ภายในศาลแห่งนี้จะมีซากหัวจระเข้มากมายตั้งเรียงรายอยู่ เชื่อว่าในอดีตบริเวณนี้เป็นวังจระเข้เก่า จระเข้เหล่านี้ล้วนเป็นบริวารของเจ้าพ่อนั่นเอง
       
       สุดท้ายแห่งที่เก้า ก็อยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเก่านั้นคือ “วัด เฉลิมพระเกียรติวรวิหาร” รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นเพื่อถวายสมเด็จพระศรีสุลาลัยพระบรมราชชนนี พระอุโบสถเป็นศิลปะไทยปนจีน หลังคามุงด้วยกระเบื้องรางดินเผาไม่เคลือบสี ถือปูนทับแนวทำเป็นลอนลูกฟูกแบบเก๋งจีน หน้าบันประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสี

พระวิหารแห่งวัด เฉลิมพระเกียรติ
       ภายในประดิษฐานพระพุทธมหาโลกาภินันทปฏิมาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ หล่อด้วยทองแดงทั้งองค์ นอกจากนี้ยังมีโบรารสถานอื่นๆอีก เช่น พระวิหารศาลาขาว พระเจดีย์ใหญ่ทรงลังกา พระราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 3 ศาลาแดงเหนือศาลาแดงใต้ หอกลองและหอระฆัง เป็นต้น
       
       นี่คือสถานที่ท่องเที่ยว 9 แห่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นของดีของเมืองนนท์ หากใครสนใจแม้จะมีเวลาเพียงแค่วันเดียวก็สามารถเที่ยวชมกันได้ครบทั้ง 9 แห่งได้อย่างสบายๆใกล้กรุงแค่นี้เอง
       
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       เทศบาลนครนนทบุรีจัดกิจกรรม “เข้าพรรษา ไหว้พระ 9 วัด ชมของดีเมืองนนท์” ขึ้น ในวันอาทิตย์ ที่ 1,8,15 และ 22 สิงหาคม 2553 ท่องเที่ยวนนท์ที่ได้บรรยากาศทั้งทางรถและทางเรือ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการได้ฟรี โดยลงทะเบียนที่บริเวณท่าน้ำนนทบุรี หลังจากนั้นจะพาเข้าชม “พิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี” จากนั้นจะพาเดินทางต่อไปยัง “ศาลเจ้าแม่ทับทิม” และขึ้นรถต่อไปยัง”วัดเขมาภิรตาราม”, “วัดกลางบางซื่อ”, “วัดตำหนักใต้”, “วัดชมพูเวก” และจะสิ้นสุดการเดินทางทางรถที่ “พระพุทธสถานเชิงท่า-หน้าโบสถ์” จากนั้นลงเรือเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไปสักการะ “ศาลหลักเมืองนนทบุรี(เดิม)” และ”วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร” โดยผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2589-0500 ต่อ 169,170 หรือที่บริเวณท่าน้ำนนทบุรี ตั้งแต่เวลา 09.00 น.ในวันเวลาดังกล่าว


Tags : วันเดียวเที่ยวคุ้ม ของดีเมืองนนท์

view