จาก โพสต์ทูเดย์
ความน่าสะพรึงกลัว ของสถานที่แห่งนี้ มีเรื่องเล่ากล่าวขานกันมายาวนานของ “ความเงียบ” ที่แฝงอยู่ในความ “เก่าแก่” ทุกพื้นที่บริเวณภายในรั้ว
โดย..นิติพันธุ์ สุขอรุณ
เมื่อนึกถึงสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีอายุเก่าแก่ คงหนีไม่พ้นสถานที่สำคัญ คือ ทำเนียบรัฐบาล ที่ถูกใช้เป็นสถานที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี รวมถึงถูกใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองบุคคลสำคัญจากต่างแดน บนเนื้อที่ 47 ไร่ 3 งาน 44ตารางวา
ทำเนียบรัฐบาล เดิมมีชื่อว่า บ้านนรสิงห์ เจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือ เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) โดยได้รับพระราชทานทรัพย์จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ให้มาจัดสร้างอาคารและสิ่งต่างๆ โดยให้ชาวอิตาเลียน ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นผู้สร้าง แต่ยังไม่แล้วเสร็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เสด็จสวรรคต ทำให้การก่อสร้างหยุดชะงัก
เรื่องประวัติการก่อสร้างเป็นที่รู้กันแล้ว แต่เรื่องที่หลายๆคนไม่เคยรับรู้เลยคือ ความน่าสะพรึงกลัว ของสถานที่แห่งนี้ มีเรื่องเล่ากล่าวขานกันมานานของ “ความเงียบ” ที่แฝงอยู่ในความ “เก่าแก่” ทุกพื้นที่บริเวณภายในรั้ว ในจำนวนอาคารทั้งหมดนี้ ตึกที่สำคัญที่สุด เห็นจะเป็น “ตึกไทยคู่ฟ้า” แต่เดิมมีชื่อว่า “ตึกไกรสร” ด้วยสถาปัตยกรรมเป็น “เวนิเชี่ยนโกธิค” ซึ่งมีรูปแบบอย่างมาจากอาคารวังริมน้ำของเจ้าผู้ครองนครเวนิส
“ตึกนารีสโมสร” เป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นใหม่ในสมัยที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เนื่องจาก ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรม เดิมชื่อ “ตึกพระขรรค์” มีที่มาจาก เจ้าพระยารามราฆพ เป็นมหาดเล็กผู้เชิญพระแสงขรรค์ชัยศรี หนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 6 ต่อมา ในสมัย จอมพลสฤษดิ์ และ จอมพลถนอม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ตึกบริหาร” แต่ในปัจจุบันใช้เป็นสถานที่แถลงข่าวมาหลายสมัยและที่ทำการสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
มีเรื่องเล่ากันว่า ตึกนารีสโมสร ในช่วงแรกๆ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของประเทศ ได้เคยใช้ห้องหนึ่งภายในตึกเป็นห้องนอนด้วย เนื่องจากท่านต้องทำงานจนมืดค่ำ แต่ไม่เท่านั้น ข้าราชการบางคนที่ทำงานอยู่ภายในทำเนียบที่ต้องอยู่เวรดึก ก็ได้พบเห็นสิ่งลี้ลับ
อาทิ เห็นเงาที่คาดว่าเป็นผู้ชายแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอปิด แขนยาว ซึ่งเป็นรูปแบบการแต่งกายของขุนนางในสมัยรัชการที่ 6 บ้างก็ว่าช่วงเวลาตีหนึ่งกว่าๆเคยเห็นถึงขนาดร่างเด็กชายไว้ผมจุก นุ่งจงกระเบน กวักมือเรียกให้มาเล่นด้วยกัน ทำเอาขนลุกซู่ ที่รองลงมาก็เป็นเพียงการได้ยิน เสียงคนเดิน เสียงปิดประตู ก็อกแก็กต่างๆ
ยิ่งเพิ่มน่ากลัวมากขึ้นในยามค่ำคืนเข้าไปอีกเมื่อย้อนไปครั้งการชุมนุม ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ได้เกิดเหตุการณ์ยิงระเบิด เอ็ม 79 เข้าใส่ผู้ชุมนุมบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า จนมีผู้เสียชีวิต พร้อมๆกันกับการที่การ์ดของพันธมิตร ทำคุณไสยระหว่างการชุมนุมภายในทำเนียบ ที่พบว่าสภาพขององค์ท้าวมหาพรหมบนหลังคาตึกไทยคู่ฟ้า ถูกขี้ผึ้งป้ายดวงตาและใช้แผ่นทองคำเปลวปิดทับ หนำซ้ำยังพบร่องรอยการทำพิธีทางไสยศาสตร์ และเครื่องไสยศาสตร์ลึกลับกว่า 10 จุด ซึ่งผู้ดำเนินการคงหวังผลสะกด ข่ม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบ
โดยสิ่งที่พบ อาทิ มีการนำผ้ายันต์สีดำ มาแปะติดตามอาคารต่างๆ ทั้งตึกบัญชาการ 1-2 ตึกสันติไมตรี ตึกไทยคู่ฟ้า และยังไม่เท่านั้น การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ก็ร่วมปู้ยี่ปู้ยำ ซ้ำเติมด้วยการสาดเลือด บริเวณประตูทางเข้าต่างๆรอบทำเนียบ พร้อมทั้งเล่นของเข้าใส่ทำเอา “เสื่อม”กันไปใหญ่
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกันของสิ่งลี้ลับที่แฝงอยู่ภายใน ทำเนียบ ทั้งนี้ไม่มีหลักฐานยืนยันที่บันทึกไว้ได้แน่ชัดว่า ร่างของผู้ชายและเด็ก ที่พบเห็นนั้นเป็นใคร และช่วงที่กลุ่มพันธมิตรชุมนุมทำไมถึงต้องทำไสยศาสตร์ แต่ที่แน่ๆเป็นที่ยอมรับของข้าราชการทั้งทำเนียบรัฐบาลและผู้สื่อข่าวจาก หลายสำนัก พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สถานที่แห่งนี้ไม่ขออยู่ค้างคืนแน่นอน ไม่เชื่ออย่าลบหลู่